ภัยใกล้ตัว “จมน้ำ-สูดฝุ่นควัน” ทำลายชีวิต-ทำร้ายสุขภาพ อธิบดีคร.แนะมาตรการลดเสี่ยง
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงสถานการณ์เด็กจมน้ำ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 28 มีนาคม 2561 พบเด็กจมน้ำ 12 เหตุการณ์ เสียชีวิต 21 ราย บาดเจ็บ 12 ราย โดยช่วงปิดเทอมปีนี้ผ่านมา 28 วัน (1 -28 มีนาคม 2561) มีเด็กจมน้ำ 6 เหตุการณ์ เสียชีวิต 11 ราย บาดเจ็บ 6 ราย เกือบทั้งหมดเป็นเด็กวัยเรียน อายุ 5-13 ปี ข้อมูล 10 ปีย้อนหลัง (ปี 2551-2560) มีเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึง 957 คนต่อปี หรือวันละเกือบ 3 คน ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคมเป็นเดือนที่เด็กจมน้ำเสียชีวิตมากที่สุด เพราะตรงกับช่วงปิดเทอมและช่วงฤดูร้อน โดยแหล่งน้ำที่เด็กจมน้ำและเสียชีวิตมากที่สุด คือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ร้อยละ 44.9 และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ว่ายน้ำไม่เป็น
“จึงขอเตือนผู้ปกครองว่าในช่วงนี้ให้ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้เด็กชวนกันไปเล่นน้ำกันเองตามลำพัง และขอให้ทุกชุมชนดำเนินการดังนี้ 1.สำรวจแหล่งน้ำเสี่ยงในชุมชน 2.เฝ้าระวังและแจ้งเตือนในชุมชน เช่น ประกาศเสียงตามสาย คอยตักเตือนเมื่อเห็นเด็กเล่นน้ำตามลำพัง 3.จัดการแหล่งน้ำเพื่อให้เกิดความปลอดภัย เช่น สร้างรั้ว ติดป้ายคำเตือน จัดให้มีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำไว้บริเวณแหล่งน้ำเสี่ยง (ถังแกลลอนเปล่าผูกเชือก ขวดน้ำพลาสติกเปล่า ไม้) และ 4.สอนให้เด็กรู้จักแหล่งน้ำเสี่ยงและอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ที่สำคัญหากพบเห็นคนตกน้ำไม่ควรกระโดดลงไปช่วย เพราะอาจจมน้ำพร้อมกันได้ แต่ขอให้ช่วยด้วยการใช้มาตรการ “ตะโกน โยน ยื่น” ได้แก่ 1.ตะโกน คือ เรียกให้ผู้ใหญ่มาช่วยและโทรแจ้งทีมแพทย์กู้ชีพ 1669 2.โยนอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อช่วยคนตกน้ำเกาะจับพยุงตัว เช่น ถังแกลลอนพลาสติกเปล่า หรือวัสดุที่ลอยน้ำได้โดยโยนครั้งละหลายๆ ชิ้น และ 3.ยื่นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวให้คนตกน้ำจับ เช่น ไม้ เสื้อ ผ้าขาวม้า ให้คนตกน้ำจับและดึงขึ้นมาจากน้ำ”อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว นอกจากนี้ นายแพทย์สุวรรณชัย ยังกล่าวถึง สถานการณ์หมอกควันทางภาคเหนือยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายจังหวัดที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM 10) สูงเกินค่ามาตรฐานในบางพื้นที่ และปัญหาหมอกควันดังกล่าวอาจส่งผลกระทบทางสุขภาพต่อประชาชนได้ โดยข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษตั้งแต่วันที่ 1 – 30 มีนาคม 2561 ค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานเริ่มส่งผลต่อประชาชนตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นมา จากสถานการณ์การเจ็บป่วยในพื้นที่ 9 จังหวัด ทางภาคเหนือตอนบน ช่วงวันที่ 11-17 มีนาคม 2561 ของสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ พบว่ากลุ่มเด็กเล็ก (แรกเกิด- 4 ปี) และกลุ่มวัยเรียน (5-14 ปี) ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจมากที่สุด รองลงมาคือกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ ในกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากที่สุด รองลงมาคือโรคผิวหนังอักเสบ นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า 4 กลุ่มโรคที่ประชาชนต้องระวังเป็นพิเศษ คือ โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังอักเสบ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอด หอบหืด ภูมิแพ้ เป็นต้น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ สำหรับประชาชนที่อาศัยในพื้นที่ประสบปัญหาหมอกควัน ควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และปฏิบัติตนตามคำแนะนำ ดังนี้
3.หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย และการทำงานหนักที่ออกแรงมากหรือที่กลางแจ้ง 4.ติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด “ในโอกาสนี้ ขอแนะนำให้ประชาชนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ติดตามสถานการณ์ และเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลหากมีความจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าเกินมาตรฐาน การขับขี่ยานพาหนะในช่วงที่มีหมอกควันมาก ทัศนะวิสัยไม่ดี ควรเปิดไฟหน้ารถ ขับรถด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422” นายแพทย์สุวรรณชัย กล่าว |