ไทยส่งเสริมยุวเกษตรกรนานาชาติ “4-H Summer Camp 2018” เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง

            ว่าที่ร้อยตรีสมสวย ปัญญาสิทธิ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร แรกเริ่มได้ดำเนินการโครงการแลกเปลี่ยนยุวเกษตรกรกับสาธารณรัฐเกาหลีในพ.ศ.2544 และได้พัฒนากิจกรรมต่างๆ ทั้งในระดับภูมิภาค และระดับโลกตลอดมาอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบันยังผลให้ยุวเกษตรกรไทยได้มีโอกาสเปิดโลกทัศน์ มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเทคโนโลยีการผลิต โดยการเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ และการใช้ภาษาระหว่างกัน  ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการฯ ทำให้เยาวชนต่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น มีความอดทน รู้จักแก้ปัญหา มีความสามารถทางด้านภาษาที่หลากหลายขึ้น  และมีทักษะในความเป็นผู้นำได้อย่างเห็นเป็นรูปธรรม 

            “จากอดีตจวบจนปัจจุบันได้มีการส่งเสริมและพัฒนายุวเกษตรกรมากว่า 65 ปี โดยให้เด็กและเยาวชนที่มีอายุ 10 – 25 ปีที่มีความสนใจด้านการเกษตร จัดตั้งเป็น “กลุ่มยุวเกษตรกร” ขึ้น เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะอาชีพการเกษตร ทักษะการดำเนินชีวิตในสังคม โดยเน้นวิธีการเรียนรู้จากประสบการณ์และการปฏิบัติจริง (Learning by doing) เพื่อให้ยุวเกษตรกรมีความสามารถ และมีความพร้อมในการสืบทอดอาชีพการเกษตรจากรุ่นพ่อแม่ได้อย่างมั่นคง”  ว่าที่ร้อยตรีสมสวย กล่าว

            ด้าน นายชาตรี บุญนาค  ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง    กล่าวว่า  การจัดโครงการครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ในปีนี้มีเยาวชนจากต่างประเทศเข้ามาร่วมโครงการเพิ่มอีก 5 ประเทศ  ประกอบด้วย ประเทศกัมพูชา ไต้หวัน ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศบรูไน  และประเทศ บังคลาเทศ ซึ่งได้ส่งยุวเกษตรกรเดินทางมาร่วมโครงการฯ   สำหรับประเทศไทยก็มีเยาวชนจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น  มหาวิทยาลัยแม่โจ้  และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าร่วม  ซึ่งประเทศไทยมีความต้องการที่จะประสานและแลกเปลี่ยนเยาวชนด้านการเกษตรระหว่างประเทศ  ตลอดถึงการสร้างเครือข่ายยุวเกษตรกรระหว่างประเทศ และในปี 2561 จึงได้จัดโครงการค่ายเยาวชน 4-H Summer Camp 2018 ขึ้นระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2561  ณ พื้นที่จังหวัดระยองและจันทบุรี โดยมียุวเกษตรกร เยาวชนเกษตร และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานด้านการพัฒนาเยาวชนเกษตรประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เข้าร่วมโครงการฯ จำนวนกว่า 80 คน

             “ที่เลือกพื้นที่จังหวัดระยองและจังหวัดจันทบุรีนั้น ก็เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกพืชประเภทผลไม้ประจำฤดูกาลมากที่สุดของประเทศไทย และขณะนี้ก็อยู่ในช่วงที่ผลไม้ชนิดต่างๆ ในพื้นที่กำลังออกผลผลิตจำนวนมาก ซึ่งยุวเกษตรกรจากต่างประเทศให้ความสนใจที่จะศึกษากระบวนการผลิต และชิมผลไม้ที่มีชื่อเสียงระดับโลกของประเทศไทยด้วย เช่น ทุเรียน และมังคุด จึงได้เลือกพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัดดังที่กล่าวมา เป็นสถานที่ฝึกอบรมและศึกษาดูงาน ตลอดถึงการปฏิบัติจริงในระหว่างการเข้ารับการอบรมด้วย” นายชาตรี กล่าว

            นายชาตรี กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า นอกเหนือจากการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันของยุวเกษตรกรแล้ว ยังมีการลงพื้นที่เพื่อปฏิบัติจริง โดยเป้าหมายอีกประการของการจัดโครงการฯ ในครั้งนี้คือ  การเปิดโอกาสให้ยุวเกษตรกรจากต่างประเทศได้มาเห็นถึงกระบวนการในการพัฒนาและความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ของงานด้านการเกษตรของไทยว่ามีแนวทางในการดำเนินงานเป็นอย่างไรและผลที่พึงได้รับเป็นอย่างไรบ้าง  เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันของยุวเกษตรกร♣